ลดหวาน ลดมัน ลดเค็ม กินแค่ไหนถึงพอดี
วันที่เผยแพร่: 25 ตุลาคม 2568
วันที่เผยแพร่: 25 ตุลาคม 2568

ลด หวาน มัน เค็ม สุขภาพดีเริ่มต้นได้ทุกวัน
สุขภาพดีเริ่มจากพฤติกรรมการกินในชีวิตประจำวัน เพราะการบริโภค น้ำตาล ไขมัน และโซเดียม เกินความจำเป็นคือสาเหตุหลักของ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคไต การปรับพฤติกรรมการกินโดย “ลด หวาน มัน เค็ม” จึงเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่แข็งแรงและยืนยาว
ลดหวาน
รสหวานที่เรารับรู้ได้มาจากน้ำตาลที่อยู่ในอาหาร ผลไม้ ข้าว แป้ง และขนมหวาน พบได้ในอาหารเกือบทุกชนิด น้ำตาลเป็นสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย และจำเป็นต่อการทำงานของสมองและเซลล์ต่าง ๆ แต่หากบริโภคมากเกินไป ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินเป็นไขมันสะสม ทำให้น้ำหนักตัวเกินและเพิ่มความเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายชนิด
กินหวานมาก มีผลต่อสุขภาพ
เมื่อกินแป้งหรือน้ำตาลเกินความต้องการ คาร์โบไฮเดรตจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม ส่งผลให้น้ำหนักเกิน เป็นโรคเบาหวาน และเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปยังสัมพันธ์กับฟันผุ ภาวะไขมันในเลือดสูง และโรคตับไขมันพอก
เทคนิคในการลดการบริโภคน้ำตาล
การค่อย ๆ ลดรสหวานจะช่วยให้ลิ้นปรับตัวได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ปริมาณน้ำตาลที่แนะนำ: ไม่เกิน 6 ช้อนชา หรือประมาณ 24 กรัมต่อวัน
ลดมัน
ไขมันเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกาย เพราะช่วยให้พลังงาน ให้ความอบอุ่น และเป็นตัวช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี และเค อย่างไรก็ตาม การกินไขมันมากเกินความจำเป็นส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก
กินไขมันมาก มีผลต่อสุขภาพ
การบริโภคไขมันมากเกินไปทำให้ร่างกายมีภาวะอ้วน และเพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดแดงอุดตัน หากเกิดที่หัวใจจะทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด หากเกิดที่สมองอาจทำให้เป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้
ไขมันบางชนิด เช่น ไขมันอิ่มตัว (Saturated Fat) และไขมันทรานส์ (Trans Fat) เป็นสาเหตุสำคัญของภาวะไขมันในเลือดสูง ซึ่งนำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจ
แหล่งไขมันที่ควรหลีกเลี่ยง
ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น
การเลือกไขมันดี เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง หรือน้ำมันคาโนลา รวมถึงการกินปลาแทนเนื้อแดง จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปริมาณไขมันที่แนะนำ: ไม่เกิน 6 ช้อนชา (ประมาณ 30 กรัม) ต่อวัน
ลดเค็ม
การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัดทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมคลอไรด์ในปริมาณสูง ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยตรง
กินเค็มมาก มีผลต่อสุขภาพ
การบริโภคโซเดียมมากเกินไปทำให้เสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูง และอาจมีโรคแทรกซ้อนตามมา เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดสมองแตก และไตวาย
เมื่อร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป ไตจะทำงานหนักเพื่อขับออก หากไตไม่สามารถขับโซเดียมได้ตามปกติ จะเกิดการคั่งของเกลือในร่างกาย ทำให้มีอาการบวมและความดันโลหิตสูง
แหล่งของโซเดียม
โซเดียมคืออะไร
โซเดียมคือเกลือแร่ที่อยู่ในเลือด มีหน้าที่ควบคุมน้ำและความดันในร่างกาย ในภาวะที่ไตทำงานผิดปกติ ร่างกายจะไม่สามารถขับโซเดียมออกได้ ส่งผลให้เกิดภาวะบวมน้ำและความดันโลหิตสูง
วิธีลดเค็ม
ปริมาณโซเดียมที่แนะนำ: ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน (เทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชา)
สุขภาพดีเริ่มต้นง่าย ๆ แค่ “ลด หวาน มัน เค็ม”
เพียงเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคในชีวิตประจำวัน เช่น การชิมก่อนปรุง การอ่านฉลากโภชนาการ การหลีกเลี่ยงของทอดหรือของหวาน และการดื่มน้ำเปล่าแทนเครื่องดื่มรสหวาน ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้อย่างยั่งยืน
การบริโภคน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมที่มากเกินไป คือสาเหตุหลักของโรคเรื้อรังในคนไทย การเริ่มต้นปรับพฤติกรรมวันนี้ คือการลงทุนเพื่อสุขภาพในวันข้างหน้า
รู้ไว้ กินแค่ไหนถึงพอดี (ต่อวัน)
สารอาหาร | ปริมาณที่แนะนำ (ไม่เกินต่อวัน) |
น้ำตาล (หวาน) | 6 ช้อนชา |
น้ำมัน/ไขมัน (มัน) | 6 ช้อนชา |
เกลือ/โซเดียม (เค็ม) | 1 ช้อนชา (เทียบเท่าโซเดียม 2,000 มก.) |
เปลี่ยนพฤติกรรมวันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีกว่าในวันพรุ่งนี้
สุขภาพดีเริ่มต้นจากการรู้เท่าทันสิ่งที่เรากินในแต่ละวัน โรงพยาบาลศรีสวรรค์ขอเชิญชวนทุกคนร่วมกันลดการบริโภคน้ำตาล ไขมัน และโซเดียม เพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและสร้างสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน
































