1. มะเร็งลำไส้ใหญ่
มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นโรคที่เซลล์ปกติในลำไส้ใหญ่มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างไม่หยุดยั้งจนควบคุมไม่ได้
การเปลี่ยนแปลงนี้อาจใช้เวลาเป็นปีในระยะแรกๆ เซลล์อาจเป็นเพียงแค่เนื้องอกธรรมดาแต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษาหรือตัดทิ้ เนื้องอกนี้อาจลุกลามกลายเป็นมะเร็งได้
• ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่
• อาการมะเร็งลำไส้ใหญ่
• การตรวจประเมินเบื้องต้น
• การวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่
• การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่
ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่
แม้ว่าสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่จะยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีบางปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งชนิดนี้ เช่น
• มีประวัติเนื้องอก ซึ่งปกติจะพบที่ผนังลำไส้ใหญ่และไม่ใช่เนื้อร้าย แต่หากเวลาผ่านไป เนื้องอกบางชนิดอาจกลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
• อายุ โดยส่วนใหญ่พบว่ากว่า 90% มักเกิดกับคนที่อายุมากกว่า 50 ขึ้นไปแต่ก็อาจพบได้ในวัยหนุ่มสาวและวัยรุ่น
• มีประวัติของโรค IBD (inflammatory bowel disease) คือโรค ulcerative colitis และ Crohn’s disease ซึ่งอาจกลายเป็นลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังและเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น
• มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ก่อนอายุ 60 ปีมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
• การไม่ออกกำลังกายและความอ้วนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น
• การสูบบุหรี่ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
อาการมะเร็งลำไส้ใหญ่
ในบางครั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่อาจไม่มีอาการผิดปกติบ่งชี้ ทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือบางครั้งอาการที่พบอาจคล้ายกับอาการของโรคอื่น
ดังนั้นจึงควรไปพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้
• ท้องเสีย ท้องผูก หรือรู้สึกท้องอืด
• อุจจาระปนเลือดสดๆ หรือเลือดสีคล้ำมาก
• ลักษณะอุจจาระเรียวยาวกว่าปกติ
• ไม่สบายท้อง รวมทั้งปวดแสบร้อน อาหารไม่ย่อย และปวดเกร็ง
• น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
• อ่อนเพลียหรืออ่อนแรงโลหิตจาง
การตรวจประเมินเบื้องต้น เป็นวิธีการที่สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และสามารถแยกเนื้องอกที่กำลังจะกลายเป็นมะเร็งได้
แนะนำให้เริ่มตรวจประเมินเบื้องต้นทั้งผู้ชายและผู้หญิงเมื่ออายุ 50 ปี โดยวิธีการตรวจประเมินเบื้องต้นทำได้ดังนี้
• การตรวจหาเลือดในอุจจาระ (fecal occult blood test: FOBT)
สามารถตรวจได้ว่ามีเนื้องอกหรือเป็นมะเร็งหรือไม่ การตรวจด้วยวิธีนี้เป็นประจำทุกปีจะช่วยลดการเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และลดลงได้ 18% ในกรณีที่ตรวจปีเว้นปี
• การตรวจโดยใช้เครื่องมือซิกมอยด์โดสโคป (sigmoidoscope)
ซึ่งมีลักษณะเป็นท่อสอดผ่านเข้าไปทางปลายทวารหนักสู่ลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง เพื่อตรวจเนื้องอก มะเร็ง และสิ่งผิดปกติต่างๆ
วิธีนี้แพทย์สามารถตัดชิ้นเนื้อที่ผิดปกติไปตรวจสอบได้
• การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy)
วิธีนี้จะช่วยให้เห็นภาพภายในลำไส้ใหญ่ทั้งหมดและสามารถเก็บชิ้นเนื้อที่สงสัยส่งตรวจทางพยาธิวิทยาได้
• การใช้สารทึบแสงแบเรียมร่วมกับการถ่ายภาพด้วยรังสีเอกซเรย์ CT scan
(double contrast barium enema: DCBE) จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถทนการตรวจด้วยวิธีส่องกล้องได้
การวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่
การวินิจฉัยโรคแพทย์จะใช้วิธีตรวจหลายๆ วิธีเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ และมีการแพร่กระจายไปที่ใดแล้วหรือไม่
โดยแพทย์จะพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ประกอบ เช่น อายุและสุขภาพ ประเภทของมะเร็ง ระดับความรุนแรงของอาการ และผลการตรวจสอบก่อนหน้านี้ เป็นต้น
โดยวิธีการวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถทำได้ดังนี้
• การตัดชิ้นเนื้อ (biopsy)
เป็นวิธีการวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่แม่นยำที่สุด และเพื่อการตรวจทางชีวโมเลกุลของมะเร็ง
• การตรวจเลือด
โดยการตรวจนับปริมาณเม็ดเลือดแดง หรือวัดระดับโปรตีน CEA (carcinoembryonic antigen)
• การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
สามารถใช้ในการตรวจสอบตำแหน่งของโรคและการกระจายไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้
• การตรวจอัลตราซาวนด์
เป็นการตรวจด้วยคลื่นความถี่สูง วิธีนี้จะบอกได้ว่ามะเร็งได้แพร่กระจายสู่ตับหรืออวัยวะอื่นๆ หรือไม่
• การเอกซเรย์ปอด
เป็นการตรวจดูว่ามะเร็งได้แพร่กระจายไปยังปอดหรือไม่
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่จะอาศัยทีมแพทย์ในสาขาต่างๆ เช่น ศัลยแพทย์ รังสีแพทย์ และอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง
มาร่วมกันวางแผนการรักษาที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกวิธีการรักษาของแพทย์ เช่น
• ขนาด ตำแหน่ง และลักษณะของเซลล์มะเร็ง
• ระยะโรคและการกระจายของมะเร็ง
• สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
• ทางเลือกในการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่
• การผ่าตัด
• รังสีรักษา
• เคมีบำบัด
• การใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy)
2. มะเร็งเต้านม
เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ในผู้หญิง
ส่วนในผู้ชายก็พบมะเร็งเต้านมได้เช่นกันแต่ไม่บ่อยนัก โดยประมาณ 90% ของมะเร็งเต้านมเกิดจากต่อมน้ำนมและท่อน้ำนม
จึงมีโอกาสมากที่จะพบการเกิดมะเร็งในเต้านมทั้งสองข้าง ทั้งในระยะแรกและหลังจากการตรวจวินิจฉัย อย่างไรก็ดี การตรวจพบมะเร็งในระยะแรกจะช่วยให้การรักษามีโอกาสประสบความสำเร็จได้สูง
• ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านม
• อาการมะเร็งเต้านม
• การตรวจประเมินมะเร็งเต้านมเบื้องต้น
• การวินิจฉัยมะเร็งเต้านม
• การรักษามะเร็งเต้านม
ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านม
• อายุ ในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปีจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
• มีประวัติการเป็นมะเร็งเต้านม โดยผู้ป่วยที่เกิดมะเร็งเต้านมขึ้นที่ข้างหนึ่งมีความเสี่ยง 3-4 เท่าในการที่จะเกิดก้อนมะเร็งขึ้นที่เต้านมอีกข้าง
• มีประวัติการเป็นมะเร็งรังไข่ เนื่องจากการเป็นมะเร็งรังไข่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสฮอร์โมน จึงเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม
• มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น
• การกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 หรือ BRCA2 มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม และการมีประวัติมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ ในครอบครัวตั้งแต่อายุน้อย
• การสัมผัสกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของลักษณะทางเพศ โดยพบว่าการสัมผัสกับเอสโตรเจนเป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม
• ลักษณะของการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ความอ้วน ขาดการออกกำลังกาย ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การได้รับรังสีในปริมาณสูง
อาการมะเร็งเต้านม
บางครั้งผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม อาจไม่มีอาการของมะเร็งเต้านม หรือบางครั้งอาการผิดปกติที่เป็นอาจไม่ใช่โรคมะเร็งก็ได้
ดังนั้นจึงควรไปพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้
• มีก้อนหนาๆ ในเต้านมหรือใต้แขน
• บริเวณหัวนมบุ๋ม มีน้ำเหลือง หรือมีแผล
• เต้านมมีผื่น แดง ร้อน ผื่นคล้ายผิวส้ม
• มีอาการปวดบริเวณเต้านม
การตรวจประเมินมะเร็งเต้านมเบื้องต้น
การตรวจประเมินเบื้องต้นเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้สามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะต้นๆ
ซึ่งจะส่งผลให้การรักษามีโอกาสประสบความสำเร็จสูง โดยการตรวจประเมินมะเร็งเต้านมเบื้องต้นสามารถทำได้ดังนี้
• การคลำเต้านมด้วยตนเอง
• การตรวจด้วยวิธีแมมโมแกรม (mammogram) แนะนำให้ผู้หญิงที่อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปเข้ารับการตรวจแมมโมแกรมทุก 1-2 ปี
• การตรวจด้วยอัลตราซาวนด์และ MRI จะใช้ในกรณีที่ผลของแมมโมแกรมตรวจพบความผิดปกติและต้องการตรวจหาเพื่อให้แน่ชัดยิ่งขึ้น
การวินิจฉัยมะเร็งเต้านม
จะทำเมื่อมีการตรวจพบก้อนผิดปกติ (ทั้งจากการตรวจเต้านมด้วยตนเองหรือการเอกซเรย์) หรือพบการมีแคลเซียมเป็นจุดที่ผิดปกติจากการตรวจเอกซเรย์ ซึ่งแพทย์จะต้องทำการตรวจว่าเป็นมะเร็งหรือไม่
และมีการแพร่กระจายไปที่ใดแล้วหรือไม่ ซึ่งวิธีที่วินิจฉัยได้แม่นยำคือวิธีการนำชิ้นเนื้อออกมาตรวจ แต่หากไม่สามารถตรวจด้วยวิธีนี้ได้ แพทย์จะพิจารณาการตรวจด้วยวิธีอื่นทั้งนี้
การวินิจฉัยโรคแพทย์จะพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ประกอบ เช่น อายุ การใช้ยาในปัจจุบัน ประเภทของมะเร็ง ระดับความรุนแรงของอาการ และผลการตรวจสอบก่อนหน้านี้ เป็นต้น
โดยวิธีการวินิจฉัยมะเร็งเต้านมสามารถทำได้ดังนี้
• การตรวจทางรังสีวิทยา
- การใช้เครื่องถ่ายภาพรังสีเต้านมเพื่อการวินิจฉัย (diagnostic mammography)
- การใช้คลื่นเสียงความถี่สูงถ่ายภาพเต้านม (ultrasound)
- การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าถ่ายภาพเต้านม (MRI)
• การเก็บชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา (biopsy)
• การตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา
• การตรวจเลือด
• การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) ของอวัยวะต่างๆ เพื่อเพิ่มความละเอียดในการตรวจหาการลุกลามของมะเร็ง
การรักษามะเร็งเต้านม
การรักษามะเร็งเต้านมจะอาศัยทีมแพทย์ในสาขาต่างๆ เช่น ศัลยแพทย์ รังสีแพทย์ และอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง มาร่วมกันวางแผนการรักษาที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกวิธีการรักษาของแพทย์ เช่น
• ขนาด ตำแหน่ง และลักษณะของเซลล์มะเร็ง
• ระยะโรคและการกระจายของมะเร็ง
• อายุและสุขภาพของผู้ป่วย
• ตัวรับฮอร์โมนของมะเร็ง
• ภาวะก่อนหรือหลังหมดประจำเดือน
• ปัจจัยที่บ่งบอกความรุนแรงของเนื้องอก เช่น ยีน HER2
• ทางเลือกในการรักษามะเร็งเต้านม
• การผ่าตัด
• รังสีรักษา
• เคมีบำบัด
• การรักษาโดยใช้ฮอร์โมน
• การใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy)
3. มะเร็งตับ
มะเร็งตับเป็นโรคที่มีความสำคัญที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วโลกและเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้มากที่สุดโรคหนึ่ง ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่ค่อยมีอาการแสดง กว่าจะได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกก็มักอยู่ในระยะท้ายของโรคแล้ว
ชนิดของมะเร็งตับ
• ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับ
• อาการมะเร็งตับ
• การวินิจฉัยโรคมะเร็งตับ
• การรักษามะเร็งตับ
ชนิดของมะเร็งตับ
• มะเร็งของเซลล์ตับ (hepatocelมะเร็งของเซลล์ตับlular carcinoma) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดทั่วโลกและพบมากที่สุดในประเทศไทยปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับ
• ภาวะตับแข็งจากทุกสาเหตุไม่ว่าจะจากแอลกอฮอล์หรือไวรัสตับอักเสบ
• การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
• การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบทั้งชนิดบีและซี
• สารพิษอะฟลาท็อกซินซึ่งปนเปื้อนอยู่ในเมล็ดพืช เช่น ถั่วลิสง ข้าวโพด พริกแห้ง
• โรคทางพันธุกรรมและเมตาบอลิกต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ซึ่งทำให้เกิดไขมันเกาะตับและเป็นตับแข็งตามมา
• การได้รับยาหรือสารเคมีบางชนิด เช่น การได้รับฮอร์โมนเพศชายเป็นเวลานาน
อาการมะเร็งตับ
• มะเร็งตับในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเป็นมากขึ้นอาจมีอาการดังนี้
• ปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณข้างขวาส่วนบน ในบางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปที่หลังหรือไหล่
• ท้องบวมขึ้น
• น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
• เบื่ออาหาร ไม่รู้สึกอยากอาหาร
• รู้สึกอ่อนเพลีย
• มีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ
• คลำพบก้อนที่บริเวณตับ
• ตัวเหลืองและตาเหลือง
การวินิจฉัยโรคมะเร็งตับ
• การซักประวัติและการตรวจร่างกาย
• การตรวจเลือดดูการทำงานของตับ ไวรัสตับอักเสบ และสารบ่งชี้มะเร็งตับ (alpha-fetoprotein)
• การตรวจทางรังสีที่ตับและช่องท้อง เช่น การตรวจอัลตราซาวนด์ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
• การตัดชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยา
การรักษามะเร็งตับ
การรักษาที่ดีที่สุดสำหรับมะเร็งตับ คือ การป้องกันและตรวจคัดกรองหามะเร็งตับ เนื่องจาก 90% ของมะเร็งตับเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี
ผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีและซีจึงมีโอกาสเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับสูง หากมีมะเร็งตับเกิดขึ้น มะเร็งตับจะโตขึ้นเป็น 2 เท่าภายในเวลา 3-6 เดือน
ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีและซีควรต้องเข้ารับการตรวจการทำงานของตับและตรวจคัดกรองมะเร็งตับโดยการเจาะเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ (alpha-fetoprotein)
และตรวจอัลตราซาวนด์ตับทุก 3 เดือน
การรักษามะเร็งตับจะขึ้นกับสภาวะความรุนแรงของโรค ขนาดและลักษณะของเซลล์มะเร็ง ระยะของโรคและการแพร่กระจายของมะเร็ง
รวมถึงสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
• การผ่าตัด
• รังสีรักษา
• เคมีบำบัด
• การผ่าตัดปลูกถ่ายตับจะทำได้ในกรณีที่ก้อนในตับมีขนาดน้อยกว่า 5 เซนติเมตรและผู้ป่วยต้องมีอายุน้อยกว่า 70 ปี